วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

กินลม.ชมวิว.ชิวๆ..ที่...สวนผึ้ง


"สวนผึ้ง"
คิดไว้นานมาแล้ว ว่ายังไงก็ต้องหาโอกาสมาให้ได้
ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นแกะตัวเป็นๆ เลยนี่

และแล้วก็เหมือนเดิมค่ะ
เพื่อความคุ้มค่า ไหนๆ ก็ขับรถมากรุงเทพแล้ว
ขากลับพวกเราแวะได้ค่ะ

พวกเรามีโอกาสได้ไปสวนผึ้งช่วงเดือนกันยายนค่ะ
อากาศเหรอคะ ช่างสบายค่ะ 
ขนาดไปถึงตั้งแต่ประมาณ 8 โมงเช้านะคะ
ความรู้สึกเหมือนอยู่ กลางทะเลทรายเลยค่ะ อิอิ
(ก็อากาศประเทศไทยนี่เนอะ เอาแน่เอานอนไม่ได้)

สวนผึ้ง เป็นชื่ออำเภอ ในจังหวัดราชบุรีค่ะ
คุณชายเคยพูดให้ฟังว่า
"สวนผึ้งนี่นะ นายอำเภอเค้าอ่ะเก่งมาก ดูสิจากอำเภอที่ไม่มีอะไร
เค้าสามารถสร้างให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตได้
แล้วแกะนะ ในประเทศไทย ยังไม่ค่อยจะมี
ประกอบกับสวนผึ้งเป็นอำเภอที่มีสภาพอากาศค่อนข้างหนาวด้วย
บลาๆๆๆๆๆ"
หลักการเต็มเลยค่ะ แต่ก็จริงค่ะ

เอาล่ะค่ะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว 
เมื่อพวกเราเข้าสู่เขตอำเภอสวนผึ้งแล้ว
สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้ คือ ร้อน...... ค่ะ
แต่เพื่อน้องแกะ... พวกเราทนได้

อันดับแรกเลยค่ะ พวกเราแพลนกันว่า..จะไป 
บ้านหอมเทียน 
The Scenery Vintage Farm
อัลปาก้าฮิลล์ สวนผึ้ง
ครัวม่อนไข่

แค่ 4 ที่ค่ะ เรามีเวลาถึงประมาณบ่าย
แล้วต้องเดินทางต่อไปหัวหินค่ะ

เมื่อเราได้รายชื่อสถานที่แล้ว
พวกเราใช้ระบบนำทางค่ะ ของโปรแกรม Sygic
สถานที่แรกเลย บ้านหอมเทียนค่ะ

แต่ด้วยความที่พวกเราไว้ใจโปรแกรมมากเกินไป 
คนนึงขับรถ อีกคนมัวดูแผนที่ จนลืมดูข้างทาง
แล้วก็ได้เรื่องจนได้..... --!
เมื่อระบบนำทาง พาเราเขาหาภูเขาเรื่อยๆ 
ผ่านสวนของชาวบ้าน
ทางลูกรัง
จนถึงฟาร์มข้าวโพด งงค่ะ แต่ไม่มีชาวบ้านให้ถามเลย
ระบบนำทางยังบอกให้ไปข้างหน้าต่อ
โชคดีที่เจอพี่่บุรุษไปรษณีย์ค่ะ

พอถามทางเท่านั้นล่ะค่ะ
พี่เค้าหัวเราะ แล้วบอกว่า
"น้องครับ บ้านหอมเทียนอยู่ติดถนนใหญ่
น้องผ่านมาแล้วนะเมื่อกี๊
น้องมาทางนี้ได้ยังไง น้องรู้มั๊ย 
นี่จะถึงเขากระโจมแล้วจะเข้าเขตพม่าแล้ว"

งานนี้มีเงิบค่ะ ... หึ Sygic พวกเราไม่ไว้ใจแกอีกแล้ว เชอะ...
พวกเราได้แต่หัวเราะค่ะ แล้วก็รีบขอบคุณพี่ไปรษณีย์
แล้วรีบกลับรถ ออกมาอย่างรวดเร็ว
ทั้งอาย ทั้งรับเลยค่ะ อิอิ

จริงๆ แล้วพวกเรากลับรถออกมาทางเดิมไม่ถึง 5 นาที
ก็เจอบ้านหอมเทียนแล้วค่ะ เหอๆ
ถึงแล้ว... ถ่ายรูปค่ะ


บ้านหอมเทียน เป็นสถานที่ที่ขายของที่ระลึกมากมาย
มีมุมถ่ายรูปสวยๆ เยอะแยะเลยค่ะ
รวมถึงมีการสาธิตการทำเทียนรูปต่างๆ ด้วยค่ะ
สรุปโดยรวม... ชอบค่ะ ^^

ภายในร้านจะแบ่งเป็นซุ้มๆ มีทางเดินตรงกลาง
แต่ละซุ้ม ขายของแตกต่างกันไป
เช่น กระเป๋าวินเทจ เทียน ตุ๊กตา ฯลฯ

อีกมุมค่ะ


นี่ค่ะ เทียนรูปแกะและเฟอร์บี้ เป็นงานแฮนเมดค่ะ


คำว่า "LOVE" ด้านหลังนั้นก็เป็นเทียนค่ะ 

รวมถึงมีภาพเก่าๆ ให้ชมมากมายค่ะ
อันนั้นเป็นมุมของ พระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงและพระราชินีค่ะ

ป้ายทะเบียนเก่าๆ ก็มีเยอะเลยค่ะ
(@หัวหน้าเผ่า --> 1452 ไม่มีนะ ไม่ต้องถาม 
ไม่ดักก่อนนี่ถามแน่ๆ อิอิ )

ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ ค่ะ

มอเตอร์ไซต์รุ่นเก่าก็มีนะคะ

มุมดอกไม้ค่ะ

มุมนี้ขายของที่ระลึกจำพวกเทียนค่ะ

จากนั้นพวกเราก็ไปเจอนี่ค่ะ
ป้ายสุดเขตแดนประเทศไทย
มาเจอแบบบังเอิญ 
กลายเป็นจุดนี้คือจุดที่พวกเราอยากไปต่อมากที่สุด
นั่นคือขึ้นเขากระโจมค่ะ
แต่ด้วยเวลา และสภาพรถ ไม่เอื้ออำนวย
เลยเก็บไว้ในลิสก่อนค่ะ

สรุปว่าจุดนี้คือจุดที่พวกเราใช้เวลานานที่สุด 
ไม่ได้ทำอะไรเลยค่ะ ยืนยิ้มมองเขากระโจม 
จนพนักงานหัวเราะเลย ...

เอาล่ะค่ะ... จบสถานที่ที่ 1 ไปต่อกันเลยค่ะ
คราวนี้พวกเราไม่หลงล่ะค่ะ อิอิ

The Scenery Vintage Farm

มาถึงรีบลงรถค่ะ ตื่นเต้นจะได้เจอน้องแกะ
ได้เรื่องอีกทีค่ะ ... มือถือหล่น
เพิ่งซื้อได้ไม่กี่เดือน หล่นซะสูงเลย เง้อออออ

หน้าเสียสักพักนึง หันไปเห็นน้องแกะ
ลืมเรื่องมือถือไปเลยค่ะ


หลังจากซื้อตั๋วแล้ว ก็ลุยเลยค่ะ ^^

มุมถ่ายรูปเยอะเลยค่ะ
มาแล้วก็อยากได้รูปสวยๆ เยอะๆ 
ร้อนแค่ไหนก็ยอมค่ะ
เป็นไงล่ะ ขับรถในฟาร์มด้วย อิอิ
เจอน้องแกะแล้วววววววววว
แย่งหญ้ากันใหญ่เลยค่ะ
ร้อนแค่ไหนก็ทนค่ะ
มุมไหนก็สวยค่ะ
รูปนี้ด้านหลังเป็นศาลพระภูมิค่ะ แปลกตาดีค่ะ
ก่อนจะถ่ายรูปนี้ แอมร้อนค่ะ จะหาที่หลบแดด
แต่คิงคองเรียกมาถ่ายรูป
ก็มาแบบอารมณ์เสียอ่ะค่ะ

หยิบกล้องขึ้นมา พอกดถ่ายเท่านั้นล่ะค่ะ
--!
ถ่ายไม่ติด
เอาสิคะทีนี้ ยืมมองหน้ากัน ต่างคนต่างไม่พูด

แอมนึกได้ เลยพูดว่า
"ก็เมื่อกี๊ มือถือหล่น เครื่องน่าจะมีปัญหานิดหน่อย"

และแล้วก็จริงค่ะ
ถ่ายใหม่ ถ่ายได้
กล้องก็นะ ช่างมามีปัญหาจังหวะนี้ เฮ้อออ

หลังจากนั้นพวกเราไปชิมไอศครีมนมแกะค่ะ
แต่ไม่มีรูปนะคะ
ถ่ายรูปไม่ไหว ร้อนค่ะ ไม่ถูกปากด้วย เหอๆ

จากนั้นพวกเราก็โบกมือลาที่นี่ค่ะ
มุ่งสู่สถานที่ถัดไป... อัลปาก้าฮิลล์ สวนผึ้ง
คราวนี้แวะถามทาง แล้วดูป้ายเรื่อยๆ
ไม่หลงแล้วค่ะ

ตัวอัลปาก้า ก็ไม่เคยเห็น กะว่ามาแล้วต้องเห็นให้ได้
มาตามทางเรื่องๆ จนเจอค่ะ
แต่...... แต่...........แต่......
ฟาร์มปิด ปิด ปิด ปิดดดดดดดดดด

ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ....
มาเป็นเพลงเลยค่ะ วันนี้วันอะไรของพวกเราเนี่ย...
มีแต่เรื่องจริงๆ เข้ามาลึกด้วยค่ะ เสียเวลามาก
ในใจก็โกรธ เคือง ทำไมไม่มีป้ายบอกว่าปิดวันนี้
ทำไมชาวบ้านไม่บอก บลาๆๆๆๆๆๆๆ

พอมาถึงปากทาง มองป้ายอีกที
ชัดเจนค่ะ... เค้าเขียนไว้ แต่ไม่อ่านเอง เชอะ
หายโกรธโดยทันที อิอิ

ดูนาฬิกาอีกที เข้าช่วงบ่ายแล้ว
หิวตามระเบียบค่ะ หาร้าน ครัวม่อนไข่ ต่อ
ระหว่างทางก็แวะถ่ายรูปกับรีสอร์ทต่างๆ เรื่อยๆค่ะ


จนถึงร้าน ซึ่งร้านนี้พี่ชายแนะนำมาค่ะ 
รายละเอียดต่างๆ ที่นี่ค่ะ

ไม่มีรูปค่ะ หิว ถ่ายไม่ไหว ขออภัยด้วยนะคะ
แต่อย่างไรก็ตาม แนะนำร้านนี้
อาหารอร่อย บรรยากาศดี
ไม่มีเรื่องให้กังวลใจด้วยค่ะ ^^

หลังจากออกจาก ครัวม่อนไข่ พวกเรามุ่งหน้าไปหัวหินเลยค่ะ
พวกเราวางแผนไว้ว่าคืนนั้นต้องไปนอนหัวหินค่ะ

ติดตามกันต่อตอนหน้านะคะ ^^

**********************************************


วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เอนกาย...พักใจ.. ไว้ที่เขาใหญ่(น้ำตกเหวนรก)


"น้ำตกเหวนรก"
ได้ยินชื่อครั้งแรก ... โอ้... แบบว่ากลัวเลยค่ะ
ทำไมชื่อน่ากลัวแบบนี้
ยิ่งกลัวความสูงอยู่ด้วย ต้องสูงแน่ๆ

แต่.....
ปฏิเสธไม่ได้ 
ทำไมน่ะเหรอคะ
เพราะว่า ทริปนี้ จริงๆ ตั้งใจไปซื้ออุปกรณ์ป้องกัน
เพื่อขี่ Big Bike 
ที่กรุงเทพค่ะ

แล้วไปพักบ้านพี่ (นับถือเป็นพี่ชายอีกคนค่ะ)
แล้วพี่บอกว่าวันนั้นว่าง... จะพาไปเขาใหญ่
ไอเราก็ดีใจค่ะ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยไปเขาใหญ่
อีกอย่าง มาแล้ว มีโอกาสต้องไปค่ะ

พอไปจะถึงเขาใหญ่ พี่บอกจะไป น้ำตกเหวนรก
ชัดเจนเลยค่ะทีนี้ อิอิ

ทริปนี้ไปหลายคนมากค่ะ รวมแล้ว 5 ครอบครัว
12 คนค่ะ
10 คน เป็นพี่ชายและทีมของพี่ค่ะ
เราไปกันแค่ 2 คนเท่านั้น
ขับรถกระบะกันไปจากภูเก็ตเลยค่ะ

อันนี้แค่เริ่มต้นทริปนะคะ
ขากลับพวกเราจะแวะเที่ยวไปตลอดทางเลยค่ะ 
สโลแกนเดียว... "มาแล้วต้องคุ้มค่ะ" อิอิ

พวกเรามีโอกาสได้ไปที่นี่ ช่วงเดือนกลางเดือนกันยาค่ะ
น้ำกำลังเยอะเลยทีเดียว

น้ำเยอะจริงๆ ไม่ได้โกหกนะคะ ^^

น้ำตกเหวนรก น้ำตกขนาดใหญ่และสูงที่สุด
อยู่ทางทิศใต้ของอุทยานฯ 
มีทั้งหมด 3 ชั้น 
ชั้นแรกสูงประมาณ 60 เมตร มีน้ำไหลผ่านหน้าผาชั้นนี้
จะพุ่งไหลลงสู่หน้าผาชั้นที่ 2 และ 3 ที่อยู่ถัดลงไปใกล้ๆ กัน 
สายน้ำจะไหลลงสู่หุบเหวเบื้องล่างเป็น มุม 90 องศา 
สูงประมาณ 150 เมตร ในฤดูฝนน้ำจะไหลแรงมาก


พวกเราเริ่มออกเดินทางจากปทุมธานีค่ะ
จุดนัดหมายแรกอยู่ที่ ดาษดา แกลอรี่
ที่ปราจีนบุรี
พวกเราไปเขาใหญ่กันทางนี้ค่ะ

ไปถึงระหว่างรอสมาชิกทุกคน
ทำไรไปไม่ได้ นอกจากเดินเที่ยวและถ่ายรูปค่ะ




รูปทั้งหมด.... ถ่ายจากด้านนอกค่ะ

สถานที่ตรงนี้ ... เป็นฟาร์มดอกไม้นะคะ 
มีดอกไม้เยอะแยะมากมาย ทั้งไม้ดอกเมืองร้อน เมืองหนาว
รวมถึงการตกแต่งภายในสวยงามมากค่ะ

ข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ .... http://travel.kapook.com/view53345.html

เอาล่ะค่ะ ถ่ายรูปได้นิดหน่อย... ใจไปอยู่บนเขาใหญ่ล่ะค่ะ
เลยไม่ค่อยเดินดูอะไรที่นี่มาก
สักพักสมาชิกก็มากันครบค่ะ

พวกเราก็เดินทางกันต่อ...

ไปกันเลยค่ะ

ถึงแล้ว... มาถึงก็ต้องถ่ายภาพกับป้ายก่อนเลย

สะพานทางเข้าค่ะ

ถึงแล้วก็ถ่ายรูปกันค่ะ

ระหว่างทาง... ค่อนข้างชันนะคะ 
ไม่สิ ... ชันเลยค่ะ
ชันมากด้วย 

มุมนี้มุมเดียว... หลายรูปเลยค่ะ

ถ่ายกับพี่ๆ ค่ะ เปียกกันถ้วนหน้านะคะ

ฝรั่งคนนี้ เจอแว๊บแรก
เข้าใจว่าถือเต๊นท์อยู่ ก็ยังงงว่าจะยกขึ้นมาทำไม
พอเดินเข้ามาใกล้ๆ ใช่เลยค่ะ
กล้องถ่ายรูป ใหญ่โตมาก อิอิ
พี่จะซูมไปถึงไหนคร้าาาาาาา ^^

ข้างๆ น้ำตกเหวนรก จะมีเส้นทางเดินไม่กี่ร้อยเมตรค่ะ
ไปดูน้ำตกจากอีกมุมค่ะ ซึ่งเป็นมุมทีสูงกว่าเดิม
ระหว่างทางก็เดินก็ชมธรรมชาติไปเรื่อยๆ
อุดมสมบูรณ์มากค่ะ

นี่ไง พี่ชายกับพี่สาวหนู อิอิ 
ดูสีหน้าสิคะ... กลัวค่ะ ได้แต่นั้นจริงๆ

อีกภาพค่ะ เห็นน้ำตกชัดๆ
สูงจริงๆ ค่ะ สวยด้วยค่ะ

ออกจากน้ำตกเหวนรก
ก็ช่วงเย็นแล้ว พวกเราจะไปออกอีกฝั่งของเขาใหญ่กันค่ะ
ระหว่างทาง เจอจุดที่ไว้สำหรับพักรถ
และรอชมช้างป่าค่ะ

ไม่รอช้าค่ะ....
เกิดมาไม่เคยเห็นช้างป่าตัวเป็นๆ อิอิ

เจอรถเจ้าหน้าที่ด้วยค่ะ
พี่เค้ามารอจับคนที่ขับรถเร็วค่ะ
เขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ไม่ควรขับรถเร็วนะคะ
อันตรายต่อทั้งคนและสัตว์
เราต้องเคารพซึ่งกันและกันค่ะ
เดิมเป็นที่อยู่ของสัตว์ แต่ต่อมามนุษย์ได้เข้ามาตัดถนน
อาจจะไปตัดขวางทางหาอาหารของเค้าหรือยังไงก็ตาม
ยังไงเราก็ต้องเคารพกฏของทางอุทยานค่ะ...

นี่ค่ะ จอกกันหลายคันเลย

มุมนี้ถ่ายเล่น ระหว่างรอช้างค่ะ

นั่งกัน คุยกันไปเรื่อย ในใจก็ภาวนาว่าขอให้ได้เห็น อิอิ
แต่สุดท้าย... ไม่เห็นค่ะ 
ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงวันนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าที่สุดอีกวัน
อย่างน้อยได้รู้จักกับพี่ๆ ทุกคน ทั้งใจดี ทั้งสนุกสนาน เฮฮา กันไปค่ะ ^^

ท้องฟ้าเขาใหญ่ยามเย็นค่ะ สวยนะคะ...

แค่มุมเดียว ก็รู้ว่าเขาใหญ่จริงๆ ค่ะ อิอิ

มื้อค่ำกับพี่ๆ คร้า...

จบแล้วนะคะ
สำหรับบันทึกความทรงจำที่น้ำตกเหวนรก
พอกันใหม่ สถานที่หน้าค่ะ
^__^

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สัมผัสลมหนาวแดนใต้...ที่ภูตาจอ2


อ๊ะๆๆๆๆๆ ตามมาจาก 
ใช่มั๊ยคะเนี่ย ^^

ตั้งใจให้ตามมาจริงๆ ค่ะ
ภูตาจอ... แม้จะเป็นสถานที่ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร
แต่จริงๆ แล้ว มีมากกว่าที่คิดค่ะ
ถึงขนาดที่ว่า ... 
หากไม่มีเวลามากพอที่จะเดินทางไปภาคเหนือ
หากไม่มีงบประมาณพอที่จะเดินทางไปต่างประเทศ
หากต้องการพักผ่อนแบบไม่มีสัญญาณโทรศัพท์รบกวน
ที่นี่เหมาะกับคุณมากค่ะ ^^

ครั้งที่ 2 นี้ พวกเราเดินทางกัน 6 คนค่ะ
เป็นกลุ่มของเพื่อน + ลิงดอยค่ะ อิอิ
(นี่ล่ะค่ะ ที่บอกว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝัน 
พ่อ ครอบครัวพี่ ไม่ได้มาค่ะ เหอๆ )
เดินทางกัน 9-10 ธันวาคม 2556 ค่ะ

เส้นทางยังเหมือนเดิมค่ะ
แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือ ถนนเละมาก
รวมถึงเนินสุดท้ายที่เป็นทางชัน หินโผล่มาก้อนใหญ่ๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ

เปิดกันด้วยภาพนี้เลยค่ะ อิอิ
เราใช้พี่ถึกคันเดิมกับครั้งที่แล้วค่ะ
รถเก่าแต่ประสิทธิภาพไม่เก่าเลยค่ะ

อ้อ ลืมบอกไป รอบนี้พวกเราไปกางเต๊นท์นอนนะคะ
ว่าแต่... คนเต็มเลยค่ะ
แต่พวกเราไม่ยอมเสียเที่ยวแน่ๆ
หาที่ปักหลักจนได้ค่ะ อิอิ
เห็นมั๊ยคะ ไกลๆ นั่น คนเยอะแยะเลย
พวกเราออกจากภูเก็ตประมาณ บ่าย 2 ค่ะ
ไปแวะโลตัสเพื่อซื้อเสบียง และยาทากันยุงค่ะ

เมื่อมาถึง หาทำเลแล้ว พวกเราก็กางเต๊นท์เลยค่ะ
หลังจากนั้นค่ะ ตามภาพข้างบน
คุณหมีของเราอีกแล้วค่ะ ฮีไม่รู้เก็บกดอะไรมา
นี่ไง... หลักฐาน
ลิงดอยเลยติดมาจากคุณหมี (เอ้ย หรืออีหมีติดจากลิงดอยเนี่ย เหอๆ)

นี่ค่ะยามเย็น

พระอาทิตย์ตกดินแล้วค่ะ
เริ่มจะหนาว

นางงามค่ะ เพื่อนแอมเอง 
รู้จักกันตอนเรียนมหาวิทยาลัยค่ะ
รหัสติดกันด้วย


เวลาค่ำที่พวกเราลอยคอ เอ้ย... รอคอย
คุณหมียังไม่หยุด
ลิงดอย เริ่มเรียนรู้วิชาล่ะค่ะ

หลังจากนั้น เมื่ออาหารหมด ทำอะไรล่ะคะ 
ไฟก็ไม่มี มืดค่ะ
น้ำค้างก็ลงเยอะเลยค่ะ แฉะกันไปหมด
พวกเราก็เข้านอนค่ะ

ถามว่าหลับสนิทไหม ... ตอบว่า ไม่ค่ะ 
เพราะว่า มีพลังงานบางอย่างรบกวนค่ะ
นั่นคือ เสียงลากเรือ ของลิงดอย
ชาวบ้านไม่ต้องนอนเลยค่ะ
หึหึ... ตัวกวนจริงๆ 

อีกทั้งเนื่องจากอากาศเย็น ประกอบกับแอมดื่มน้ำเยอะมาก 
ทำให้ต้องตื่นมาเข้าห้องน้ำตอนตี 3
นางงามถามแอมว่า... นั่นเสียงอะไร
แอมบอก... อ๋อ ลิงดอยลากเรือ 555+
สาวเซอร์ถามแอมว่า... กินมาม่ามั๊ย
หาาาาาาาาาาา กินมาม่า ตี 3
น้ำค้างลง ไม่มีแก๊ส เนี่ยนะ
เดือดร้อนคุณหมีเลยค่ะ อิอิ

หลังจากนั้นพวกเราก็เข้านอนได้ไม่นาน
ก็ได้เวลาตื่นมาดูทะเลหมอกค่ะ


ถ่ายรูปได้สักพัก พระอาทิตย์ก็ขึ้นมาค่ะ ^^



แสงสวยจริงๆ ค่ะ


รูปนี้เอาจริงๆ นะหมี
ชั้นไม่เห็นแกเลย 555+
จากนั้นพวกเราก็รอคิวถ่ายรูปกับป้ายที่ 1 ค่ะ
ภาพรวมค่ะ
สาวเซอร์ ...
นางงาม... อิอิ
ได้แค่นี้ล่ะ ไม่มีท่า อิอิ
ถ่ายกับป้ายที่ 2 ค่ะ
คนละรูป
ลิงดอยเหมือนจะไม่สบาย
สงสัยเจ็บคอ อิอิ
ลากเรือตั้งแต่น้ำขึ้นยังน้ำลงเลย อิอิ
รูปหมู่ อิอิ


พักผ่อนตามอัธยาศัย
มารอบนี้พื้้นที่แคบไปเลยค่ะ
ภูตาจอ ได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ เลยค่ะ
หน้าตา ท่าทาง ลิงสะใจ เป็นแบบนี้นี่เอง
จัดวิวไปรัวๆ
มุมไหนก็สวยค่ะ
ทางเดินขึ้นไปบนยอด
โหหห เห็นหมีชัดเลยอ่ะ
เก๊กหล่อเพื่อ....
ยิ้มค่ะยิ้ม
หมีพูดมาก
ร่าเริงสุดๆ 
ถ่ายรูปกันเยอะมากค่ะ 
เท่าไรก็ไม่พอจริงๆ 
สวยทุกมุม
รูปรวม... กรูณาอย่าดูชุดคุณหมี
เพราะฮีไม่พร้อมสักอย่าง
พร้อมอย่างเดียว คือฮีสั่งไข่ต้มไว้ 30 ฟอง
ฮีกลัวอดค่ะ...
แสงเริ่มส่องหน้าแล้วววว
ถ่ายด้านหลังกันบ้าง
คิงคองอยู่บนยอดคร้าาา
3 หนุ่ม 3 มุม
หมี ลิง คิงคอง
วิวรัวๆ ค่ะ
ดูสีหน้าทุกคน สุขกายสบายใจจริงๆ ค่ะ
โอ้ ลิงดอย หล่อสุดๆ
นี่ค่ะ มุมเก่า ที่เดิม
ลานกางเต๊นท์ของพวกเรา
มั่นใจสุดๆ ว่า ถ้าลิงดอยมาอ่านรีวิวนี้
ฮีต้องบอกว่า...
เอาหุ่นผมกลับคืนมาาาาาาาาาาา 555+
"ไม่ทันแล้วไอน้องเอ้ยยยย"


ในขณะที่พวกเรากำลังจะเดินกลับไปที่เต๊นท์
พวกเราก็ต้องชะงัก เมื่อพวกเราเจอกับ...
อาจารย์ของพวกเราทั้ง 3 คนค่ะ
อาจารย์ท่านนึงเป็นอาจารย์สอนพวกเรา
อีกท่านเป็นผู้อำนวยการค่ะ
ทั้ง 2 ท่านสอนพวกเราตอนเรียนมัธยมค่ะ
ดีใจจริงๆ ค่ะ ^^
อาจารย์บอกด้วยค่ะว่า 
"ที่นี่สุดยอดจริงๆ เพราะขณะที่อยู่ภูเก็ต 
พวกเราไม่เจอกันเลย
แต่ดันมาเจอกันที่นี่"
... รักและเคารพอาจารย์เสมอนะคะ...

ก่อนกลับภูเก็ต พวกเราแวะอาบน้ำกันค่ะ
ย้ำนะคะว่าอาบน้ำ จริงๆ เพราะว่า...
บนภูตาจอไม่มีน้ำให้อาบค่ะ
มีแต่ห้องน้ำ พวกเราต้องใช้น้ำอย่างประหยัดค่ะ อิอิ
คันนี้ค่ะ พี่ถึกของเรา 
และกลับจากภูตาจอนี่เอง พี่ถึกก็จากพวกเราไป
ไม่ใช่รถพังนะคะ
แต่คุณชายเจ้าของรถ ขายค่ะ
ฮีเปลี่ยนไปเป็นพี่เบิ้มนั่นล่ะค่ะ อิอิ

..................................................................

จบแล้วค่ะ
เป็นไงบ้างคะ
ภูตาจอ... สุดยอดเลยใช่มั๊ยคะ
มีโอกาสอย่าลืมไปเที่ยวที่นี่กันนะคะ 

พบกันใหม่รีวิวหน้าค่ะ ....