วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2558

จากกาญจนบุรี....สู่....อยุธยา2 (วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร)


พวกเรายังอยู่กันที่พระนครศรีอยุธยาค่ะ
ต่อจากตอนที่แล้ว ที่พระราชวังบางปะอิน (กดที่นี่ค่ะ)

จริงๆ แล้วการเดินทางวันนี้ของพวกเรา 
แม้ว่าจะมีเวลาแค่ 2 ชั่วโมง
และที่สำคัญเวลาหมดไปแล้ว ณ พระราชวังบางปะอิน
แต่พวกเราก็ได้ขออนุญาติพี่สาว...
เพื่อขอไปเที่ยวสถานที่ถัดไปก่อนค่ะ
นั่นคือ

"วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร "



พี่สาวใจดีมากค่ะ อนุญาติพวกเรา
ที่สำคัญคือ... วัดแห่งนี้อยู่ใกล้กับพระราชวังบางปะอิน
เพียงแค่มีแม่น้ำกั้นกลางเท่านั้น
ที่สำคัญกว่านั้นคือ... เวลาจะเข้าชมพระราชวังบางปะอิน
พวกเราต้องเอารถไปจอดที่ลานจอดรถหน้าวัดแห่งนี้ค่ะ

เพราะฉะนั้นไม่มีเหตุผลใดๆ ที่พี่สาวจะไม่อนุญาติค่ะ อิอิ


วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร 
เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร 
ตั้งอยู่ที่ ตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา 
เป็นวัดในสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุต 
สร้างขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เพื่อทรงใช้เป็นสถานที่สำหรับบำเพ็ญพระราชกุศล
 เมื่อเสด็จฯ แปรพระราชฐานมาประทับที่พระราชวังบางปะอิน 
โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเลียนแบบโบสถ์ฝรั่ง 
เป็นศิลปะแบบกอทิก (Gothic)

การเดินทางไปวัดแห่งนี้
หากจอดรถไว้ที่ลานจอดรถที่บอกข้างต้น...
ต้องนั่งกระเช้าข้ามไปค่ะ


เมื่อขึ้นกระเช้า 
สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ...

ตึกต่างๆ ทางฝั่งเดียวกับวัด
จะมีลักษณะคล้ายสถาปัตยกรรมของยุโรป
รวมถึงมีสีสันสวยงามเลยทีเดียวค่ะ



นั่งสักครู่ .... ก็ถึงฝั่งวัดค่ะ
กระเช้านี้ไม่มีค่าบริการนะคะ


แต่จะคิดเป็นน้ำใจของผู้ใช้บริการมากกว่า
ทางวัดจะมีตู้รับบริจาคไว้ให้ใส่เงินตามศรัทธาค่ะ


พวกเราสงสัยกันมากค่ะ ว่าใครเป็นผู้บังคับกระเช้า
แต่เมื่อมาถึงฝั่งตรงข้ามก็ได้เห็น...

พระภิกษุเป็นผู้บังคับกระเช้าค่ะ


ท่านจะนั่งอยู่ด้านบนของหอบังคับนี่ล่ะค่ะ

เอาล่ะค่ะ มาถึงวัดแล้วก็ลุยกันเลยค่ะ

สิ่งแรกที่เห็นเลยค่ะ...
ตู้ไปรษณีย์
ที่มีลักษณะออกไปทางยุโรป

จากนั้นก็เดินกันเรื่อยๆ 
ภายในวัดสวยงามและสะอาดมากเลยค่ะ


ลักษณะของอาคารต่างๆ ชมกันเพลินเลยค่ะ

อาคารในภาพบนนี้... 
พระตำหนักที่ประทับของ

"สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ"


มาถึงพระอุโบสถค่ะ
จริงๆ พวกเราเห็นพระอุโบสถตั้งแต่ตอนชมพระราชวังบางปะอินแล้ว
มองจากทางนั้นก็สวยค่ะ


พระอุโบสถของวัดนั้นสร้างเลียนแบบโบสถ์ในคริสต์ศาสนาค่ะ 



โดยภายในประดิษฐาน "พระพุทธนฤมลธรรโมภาส" 
เป็นพระประธาน ออกแบบโดยพระวรวงศ์เธอ 
พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ 
โดยลักษณะที่ผสมผสานศิลปะแบบประเพณีนิยม 
และศิลปะแบบตะวันตกเข้าด้วยกัน 
ซึ่งมีพุทธลักษณะคล้ายสามัญชน 
นอกจากนี้บริเวณฐานชุกชีก็มีลักษณะ
เหมือนที่ตั้งไม้กางเขนแบบโบสถ์ 
และฝาผนังโบสถ์ด้านหน้าของพระประธานนั้น 
เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 5 ที่ประดับด้วยกระจกสี


วัดแห่งนี้ถือเป็นวัดไทยแห่งเดียวในประเทศ
ที่สร้างแบบสถาปัตยกรรมแนวยุโรป

จากทางด้านหน้าวัดค่ะ
มองเห็นพระอุโบสถด้านหน้าเช่นกัน

หากหันหน้าเข้าพระอุโบสถ
ทางขวามือ พวกเราจะพบกับ.....

"ต้นพระศรีมหาโพธิ์"
เป็นต้นที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงปลูกไว้หน้าพระอุโบสถค่ะ

เมื่อเราเดินกลับไปยังกระเช้า
เราเลือกเดินทางขวาของพระอุโบสถค่ะ
เพราะตอนมาเรามาทางฝั่งซ้าย

พวกเราผ่านสุสานสวนหินดิศกุลอนุสรณ์ 
เป็นสวนหินสำหรับประดิษฐานพระอัฐิ
ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ 
เจ้าจอมมารดาชุ่มในรัชกาลที่4 และราชสกุลดิศกุล

และสิ่งนี้ค่ะ

นอกจากนี้....
ภายในวัดแห่งนี้ยังมี...
>พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
เป็นพระพุทธรูปทรงม้า
>หอพระพุทธศิลา เป็นหอพระภายในประดิษฐานพระพุทธศิลา 
ปางนาคปรกสมัยลพบุรี
>หอพระคันธารราษฎร์ เป็นหอพระภายใน
ประดิษฐานพระคันธารราษฎร์ ปางขอฝน

หลังจากเสร็จสิ้นการชมวัดแห่งนี้
พวกเราก็รีบนั่งกระเช้ากลับเลยค่ะ
เพราะพี่สาวของพวกเรารออยู่
และพี่ๆ ของพวกเรารอไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือเจ้าอร่อยกับพวกเราค่ะ

ไม่มีภาพตอนทานก๋วยเตี๋ยวเรือนะคะ
แต่มีภาพคือก่อนไปพระราชวังบางปะอินค่ะ

*** อ้างอิงข้อมูลจาก...


โดนไปเต็มๆ เลยค่ะ โดนรับน้องซะแล้ว อิอิ
ยังไงก็ต้องขอบคุณพี่ๆ ทุกคนมากนะคะ
ที่ให้การต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดีเลยค่ะ
^_______________^


ลากันไปด้วยภาพนี้ค่ะ....
ณ สนามบินดอนเมือง
พี่สาวดูแลพวกเราเป็นอย่างดี

จบ ทริปกาญจนบุรี อย่างสวยงาม
ได้ของแถมเป็นการเที่ยวชม พระราชวังบางปะอิน
และวัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหารด้วยค่ะ

ขอบคุณพี่ๆ ทุกคนมากๆ ค่ะ
สำหรับรถที่ให้ยืม
สำหรับอาหารแสนอร่อย
และทริปอันแสนสุดประทับใจ
ทำให้พวกเราได้แลนมาร์คแห่งใหม่
เพิ่มขึ้นเลยค่ะ

ติดตามกันต่อไปบันทึกฉบับหน้า....
เรื่องราวของการปั่น...เพื่อชีวิตค่ะ

*************************************




วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2558

จากกาญจนบุรี....สู่....อยุธยา (พระราชวังบางประอิน)


สวัสดีค่ะ...
ก่อนอื่นต้องขอโทษทุกท่านนะคะ
แอมไม่ได้อัพเดท blog มาหลายอาทิตย์เลย

กลับมาคราวนี้... สืบเนื่องจากทริปกาญจนบุรีค่ะ กดที่นี่
จริงๆ แล้ววันนี้เป็นวันที่แอมต้องเดินทางกลับแล้ว

แต่ได้จองตั๋วรอบค่ำไว้ค่ะ
เพื่อจะได้อยู่กับพี่ชายที่ปทุมธานี 1 วันเต็มๆ

แต่แล้ว... พี่ชายติดธุระ ไปกระบี่ตั้งแต่วันที่สอง
ที่แอมถึงดอนเมืองค่ะ

แต่กระนั้น ... แอมยังมีพี่ๆ ที่น่ารักอีกหลายคน
หนึ่งในนั้นคือ พี่สาวค่ะ
พี่สาวคนนี้เป็นคนพาแอมไปเที่ยวในวันนี้

เริ่มต้นวันก็เซอร์ไพรส์เลยค่ะ
แอมเดินไปหาพี่สาวที่บ้าน
ตอนเช้ามาก ก่อนเวลานัด
แอมเลยตัดสินใจไม่เรียกพี่ค่ะ

แต่แอมไปถึงบ้านพี่ แอมก็เปิดประตูรั้วเข้าไปค่ะ
ไปนั่งอยู่หน้าประตูบ้าน

สักพักพี่ได้ยินเสียง พี่บอกกล้าๆ กลัวๆ ว่าเสียงอะไร
แต่ตัดสินใจเปิดประตู.....
มาเจอแอมค่ะ อิอิ 

เอาล่ะค่ะ... เข้าเรื่องดีกว่า
วันนีพี่สาวเหมือนรู้ใจแอมมากๆเลยค่ะ
พาแอมไปพระราชวังบางปะอิน
จ.พระนครศรีอยุธยา


การท่องเที่ยวแนวนี้ แอมยังไม่เคยไปค่ะ
ก็ไปแบบ งงๆ พี่สาวให้เข้าไปเที่ยวเอง
เพราะพี่มาบ่อยมากค่ะ อิอิ

เริ่มกันด้วยอาหารเช้าที่โรงแรม
ใน ม.ราชภัฏวไลยองค์กรณ์ค่ะ


จากนั้นพวกเราก็มุ่งหน้าไปตามทางหลวงหมายเลข 1 
ไปยัง พระนครศรีอยุธยาค่ะ
ตรงไปเรื่อยๆ จนเจอทางแยก ให้ไปตามถนน 308 ค่ะ
จากนั้นจะเจอป้ายบอกทางไปเรื่อยๆ ประมาณ 500 เมตร ก็ถึงค่ะ


พวกเราใช้เวลาแค่ 20 นาทีก็ถึงค่ะ
โชคดีที่รถไม่ติดเลย

ภาพซ้าย ... จากที่จอดรถค่ะ มองไปยังทางเข้าพระราชวัง
ภาพขวา... กับป้ายพระราชวังค่ะ

เข้าไปก็เริ่มจากซื้อบัตรค่าเข้าชมค่ะ คนละ 30 บาท
จะได้บัตรมาพร้อมกับเอกสารแจงรายละเอียดภายในค่ะ
(ซึ่งบันทึกการเดินทางฉบับนี้อ้างอิงจากเอกสารนี้ค่ะ)

ก่อนอื่นเริ่มจากประวัติกันก่อนค่ะ...
พระราชวังบางปะอิน ตามพระราชพงศาวดารครั้งกรุงศรีฯ ว่า
พระเจ้าปราสาททองหรือพระศรีสรรเพ็ชญ์ที่ 5
(โอรสของพระเอกาทศรถ ประสูติแต่หญิงชาวบ้าน)
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สร้างขึ้น
บนเกาะบางเลนในลำน้ำเจ้าพระยา

หลังจากที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนิน
แล้วเกินเรือพระที่นั่งล่มตรงเกาะบางปะอิน 
เมื่อพระเจ้าปราสาททองขึ้นครองราชย์
ได้ 2 ปี ในปี พ.ศ. 2175 
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างวัดขึ้นมาบนเกาะแห่งนี้
ตรงบริเวณเคหะสถานเดิมของพระมารดา 
และพระราชทานชื่อว่า
"วัดชุมพลนิกายาราม"

ทรงให้ขุดสระน้ำและสร้างพระราชนิเวศน์สถานขึ้น
พระราชทานนามว่า
"พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพย์อาสน์"

พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประพาส
สำราญพระราชหฤทัยของพระเจ้าแผ่นดิน
ในสมัยกรุงศรีฯ และทรุดโทรมไปในครั้งที่
เสียกรุงศรีฯ พ.ศ. 2310 เป็นต้นมา

ซึ่งพระราชวังบางปะอินได้รับการบูรณะฟื้นฟูอีกครั้ง
ในสมัยรัชกาลที่ 4  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
พระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง
พระที่นั่งองค์หนึ่งสำหรับพระองค์

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์โปรดที่จะเสด็จประพาสที่นี่
ด้วยทรงปรารภว่า ที่นี่เป็นเกาะอยู่กลางน้ำ เงียบสงบ ร่มรื่น
รวมถึงเคยเป็นที่ประทับประพาส
ของสมเด็จพระบรมชนกนาถมาก่อน
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ 
ให้สร้างพระที่นั่งและสิ่งก่อสร้างต่างๆ
ดังที่เห็นในปัจจุบัน

ซึ่งยังคงใช้เป็นที่ประทับ 
และต้อนรับพระราชอาคันตุกะ และพระราชทานเลี้ยงรับรอง
ในโอกาสต่างๆ เป็นครั้งคราว...


จากนั้นเดินเข้าไปอีกนิดก็จะพบกับ แผนผังของพระราชวังทั้งหมดค่ะ
ซึ่งเมื่อยืนดูสักพัก ก็สรุปได้เลยค่ะ ว่า....
มีเวลา 2 ชั่วโมง ไม่พอแน่ๆ 

แต่ก็ต้องเข้าชมให้ครบที่สุดค่ะ
พวกเราเน้นสถานที่หลักๆ เริ่มจากที่หลักๆ ก่อน...

เนื่องจากพระราชวังโดยทั่วไปจะมี 2 ส่วน คือ
เขตพระราชฐานชั้นนอก และ
เขตพระราชฐานชั้นใน

ซึ่งเขตพระราชฐานชั้นนอก
(THE OUTER PALACE)
ประกอบด้วย
พระที่นั่ง ซึ่งใช้สำหรับการออกมหาสมาคม
และพระราชพิธีต่างๆ

เริ่มจาก "หอเหมมณเฑียรเทวราช"
(Ho Hem Monthain Thewarat --
Golden Palace, king of the gods)
เป็นปรางค์ศิลา ยอดทรงปราสาทแบบขอม


รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2443
เพื่อทรงอุทิศถวายแด่พระเจ้าปราสาททอง

"สภาคารราชประยูร"
(SAPHAKHAN RATCHAPRAYUN --
Assembly Hall for Royal relatives)

เป็นตึก 2 ชั้นริมน้ำ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2419
สำหรับเป็นที่ประทับของเจ้านายฝ่ายหน้าและข้าราชบริพาร

ปัจจุบันจัดแสดงสิ่งของที่มีผู้ทูลเกล้าถวายในหลวงค่ะ

พวกเราไม่ได้เข้าไปชมที่นี่ค่ะ
เลยไม่มีภาพข้างในมาให้ชม

ระหว่างทาง เป็นสะพานภายในเขตพระราชวังค่ะ

จริงๆ พวกเราเดินวนจากขวาไปซ้ายค่ะ
แต่เพื่อความเข้าใจ และแยกระหว่าง 2 ส่วน 
แอมขอเขียนในส่วนของเขตพระราชฐานชั้นในก่อน

ถัดมาคือ...
"พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพย์อาสน์ "
(PHRA THINANG (Toyal Residence) 
AISAWAN THIPHYA-ART --
The divine seat of personal freedom)


เป็นพระที่นั่งโถงกลางสระน้ำ สร้างในแบบปราสาทจตุรมุข
รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จำลองแบบมาจากพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาท
ในพระบรมมหาราชวัง และพระราชทานนามตามพระที่นั่งองค์เดิม
ที่พระเจ้าปราสาททองสร้างไว้
สร้างแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2419 

ปัจจุบันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปหล่อสัมฤทธิ์ของ รัชกาลที่ 5 
ในฉลองพระองค์เต็มยศจอมพลทหารบก 
ซึ่งรัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น

"พระที่นั่งวโรภาษพิมาน"
(PHRA THINANG (Royal Residence) 
WAROPHAT PHIMAN --
Excellent and shining heavenly abode)


เป็นพระที่นั่งตึกชั้นเดียว ซึ่งเดิมเป็น 2 ชั้น
รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น
ตรงบริเวณที่ประทับเดิมของรัชกาลที่ 4
สร้างแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2419 

ใช้เป็นที่ประทับและมีท้องพระโรงเสด็จออกว่าราชการ
ภายในห้องโถงรับรอง และห้องทรงพระสำราญ
ประดับด้วยภาพเขียนสีน้ำมัน 
ภาพพระราชพงศาสดารเดี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย

ปัจจุบันพระที่นั่งองค์นี้ยังใช้เป็นที่ประทับ
เมื่อมีการเสด็จแปรพระราชฐานยังพระราชวังบางปะอิน

*** การจะเข้าไปในพระที่นั่งองค์นี้ ต้องใส่กระโปรง หรือผ้าถุงยาว
เท่านั้น ทางด้านซ้ายมือจะมีผ้าถุงให้ยืมสวมค่ะ
แน่นอนค่ะ ... โดนสวมผ้าถุงด้วยเช่นกัน อิอิ

รวมถึงการเข้าชมจะมีเจ้าหน้าที่บรรยายอยู่ภายใน
ผู้เข้าชมควรจะต้องสำรวมนะคะ...
และไม่อนุญาติให้บันทึกภาพค่ะ

เก็บบรรยากาศระหว่างทางค่ะ
ด้านหลังของพระที่นั่งวโรภาษพิมาน

ด้านข้างของพระที่นั่งวโรภาษพิมานค่ะ

มาต่อกันด้วย
เขตพระราชฐานชั้นใน... 
(THE INNER PALACE)
เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์  
สมเด็จพระอัครมเหสี 
และพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน
และข้าบาทบริจาริกาค่ะ

ระหว่างเขตพระราชฐานชั้นนอกและเขตพระราชฐานชั้นใน
จะมีสะพานที่มีแนวฉากคล้ายบานเกล็ดกั้นกลางตลอดแนวสะพาน


โดยเชื่อมระหว่างพระที่นั่งวโรภาษพิมานกับประตูเทวราชครรไล

ว่ากันด้วยเขตพระราชฐานชั้นในค่ะ

"ประตูเทวราชครรไล"
(Tevaraj-Kanlai Gate)


ปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑ์แสดงรถม้าและพระที่นั่งค่ะ


(Royal Carriage Museum Dusit Palace at Tevaraj-Kanlai Gate)

นอกจากจัดแสดงรถม้าแล้ว
ยังมีตู้สำหรับทำของที่ระลึกด้วยค่ะ

ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าต้องการเป็นรูปของพระที่นั่งองค์ไหน
หรือรูปรถม้าค่ะ โดยจะต้องหยอดเหรียญ 20 บาท 

ไปต่อกันที่ 
"พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร"
(Phra Thinang Uthayan Phumisathian --
Garden of the secured land)
เป็นพระที่นั่งเรือนไม้ 2 ชั้นแบบชาเลต์ของสวิส
คือ มีเฉลียงทั้งชั้นบนและชั้นล่างทาสีเขียวอ่อน
และเขียวแก่สลับกัน ภายในตกแต่งแบบยุโรป 
ด้วยเครื่องเรือนแบบฝรั่งเศส สมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 3 
ชุดเดียวกันหมดทั้งพระที่นั่ง

ซึ่งที่นี่เป็นที่โปรดปรานของรัชกาลที่ 5 มากที่สุด 
ได้เสด็จแปรพระราชฐานมาประทับบางคราว 3 ครั้งต่อปี

แต่เมื่อ พ.ศ. 2481 ขณะที่มีการทาสีพระที่นั่ง
ได้เกิดเพลิงไหม้ทั้งหมด เหลือแต่หอน้ำลักษณะคล้ายห้อรบของยุโรปค่ะ

ใน พ.ศ. 2537 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ 
ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตสร้างพระที่นั่งแห่งนี้ขึ้นมาใหม่

*** พระที่นั่งองค์นี้ไม่อนุญาติให้เข้าชมค่ะ

โดยฝั่งตรงข้ามของพระที่นั่งแห่งนี้
มีพระที่นั่งที่สะดุดตาพวกเรามากค่ะ

นั่นคือ "พระที่นั่งเวหาศจำรูญ"
และ "หอวิฑูรทัศนา"

"หอวิฑูรทัศนา"
(Ho (Tower) WITHUN THASANA --
The sages lookout)

เป็นหอสูงยอดมน ตั้งอยู่กลางเกาะในพระราชอุทยาน
รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น
เมื่อปี พ.ศ. 2424
เพื่อใช้เป็นหอส่องกล้องชมภูมิประเทศและดูดาวค่ะ

ภายในเป็นบันไดวนค่ะ

สามารถขึ้นชมได้แค่ชั้นเดียวเท่านั้นค่ะ

วิวจากด้านบนค่ะ
อีกมุมค่ะ

พระที่นั่งเวหาศจำรูญมองจากมุมด้านบนค่ะ

"พระที่นั่งเวหาศจำรูญ"
(PHRA THINANG (Royal Residence) 
WEHART CHAMRUN -- Heavenly Light)

เป็นพระที่นั่งสองชั้น สร้างในแบบศิลปะจีนอย่างงดงาม
โดยกลุ่มพ่อค้าชาวจีนในไทย ได้สร้างน้อมเกล้าฯถวาย
รัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2432

พระที่นั่งองค์นี้มีนามตามภาษาจีนด้วยว่า 
"เทียนเม่งเต้ย"
(เทียน-เวหา, เม่ง-จำรุญ, เต้ย-พระที่นั่ง)


ภายในห้องกลางชั้นบนของพระที่นั่ง
เป็นที่ประดิษฐานพระที่นั่งเก๋ง 3 องค์ติดต่อกัน
ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายต่างๆ 
ลงรักปิดทองงามอร่าม

ช่องทางตะวันตกประดิษฐานพระป้ายจารึก (อักษรจีน)
พระปรมาภิไทย ของ รัชกาลที่ 4
และกรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ 
ซึ่งรัชกาลที่ 5 ให้สร้างขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2433

ช่องกลางเป็นที่ประดิษฐานพระป้ายจารึก (อักษรจีน)
พระปรมาภิไทย ของ รัชกาลที่ 5
และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
ซึ่งรัชกาลที่ 7 ให้สร้างขึ้น  เมื่อ พ.ศ. 2470

ในปัจจุบันพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ 
ให้บำเพ็ญพระราชกุศลสังเวยพระป้าย ในวันตรุษจีนทุกปี

***พระที่นั่งองค์นี้ไม่อนุญาติให้บันทึกภาพค่ะ

ภายในโดยรอบ มีการจัดสวนอย่างสวยงามค่ะ

"เก๋งบุปผาประพาส"
(Keng Boo-Pah Pra-Paht)

ปัจจุบันเป็นร้านขายเครื่องดื่มและไอศครีมค่ะ

เนื่องจากวันที่พวกเราเข้าไป อากาศร้อนมากค่ะ
จุดนี้เลยมีนักท่องเที่ยวเยอะแยะเลย

"แพทรงบาตร"
(Pae Song Baht)


ตั้งอยู่ด้านหลังของเก๋งบุปผาประพาส
คุณป้าที่ขายเครื่องดื่มบอกพวกเราว่า
แพตรงนี้คือที่ที่ รัชกาลที่ 5 ใช้ในการทรงบาตรค่ะ

แพทรงบาตร อีกมุมค่ะ

พวกเราต้องเข้าชมที่นี่แข่งกับเวลาค่ะ
แต่ก็ชมสถานที่สำคัญๆ ได้เกือบครบ
จริงๆแล้วยังมี พระตำหนักสมเด็จพระพันวัสสาอยิกาเจ้า
อนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์
อนุสาวรีย์ราชานุสรณ์ พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร 
กระโจมน้ำร้อน กระโจมแตร 
ประตูสาครประภาส ประตูสังฆสิทธิภัตรการ 
ตำหนักแพ และหอน้ำอีกค่ะ

แต่ไม่เป็นไร... มีโอกาสแอมกลับไปที่นี่อีกแน่นอนค่ะ
รอบหน้าขออย่างต่ำ 1 วันเลยค่ะ อิอิ
^__________^

อาคารด้านข้างใกล้ๆ ทางเข้าออกค่ะ
สวยทุกรายละเอียดค่ะ

หวังว่าการเขียนบันทึกฉบับนี้
คงจะเป็นประโยชน์แก่ทุกคน
ในแง่ของประวัติศาสตร์ด้วยนะคะ

แอมพยายามใส่รายละเอียดให้มากที่สุด
เพื่อจะได้เป็นประโยชน์กับทุกคน
โดยเฉพาะเด็กนักเรียนค่ะ

ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออย่างที่คิดนะคะ
^____________^


ลากันไปด้วยภาพนี้ค่ะ

อ๊ะๆๆๆ... ยังไม่จบนะคะ
เรายังไม่ได้ไปที่วัดนิเวศธรรมประวัติเลยค่ะ
บอกก่อนเลยว่าสวยมาก
ไม่ไปชมกันต่อถือว่าพลาดนะคะ อิอิ

ชมบันทึกที่วัดนิเวศธรรมประวัติ
กดที่นี่ค่ะ

******************************************