วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

ย่างเข้าปี 2...

ย่างเข้าปี 2 ตามปกติ รุ่นพี่ปี 2 ต้องจัดกิจกรรมต่างๆ นานา เพื่อน้องปี 1 แต่ผู้เขียนเองแทบจะไม่ได้ช่วยเพื่อนๆ ทำกิจกรรมอะไรเลย เนื่องด้วยมักจะมีปัญหากับที่บ้าน...

และแล้วเรื่องที่พี่ปี 2 ทุกคนรอคอยก็มาถึง นั่นคือการดูรายชื่อน้องรหัส....แต่ที่ไหนได้ มีน้องปี 1 มาแค่ 69 คน ทั้งๆ ที่รุ่นของผู้เขียนมีถึงรหัส 95 แล้วผู้เขียนก็รหัส 80 เอาเข้าไป....เศร้าเลยงานนี้

ปี 2 ว่าด้วยเรื่องของวิชาเรียนทางคอมพิวเตอร์เฉพาะทาง(IT) อาทิ ระบบฐานข้อมูลเบื้องต้น ระบบสารสนเทศเบื้องต้น การวิเคราะห์ระบบ อัลกอริทึมในการเขียนโปรแกรม... นอกจากนี้ยังเรียนวิชาอื่นที่เกี่ยวข้องกับทางIT อาทิ Math for IT, สถิติ, Searching,บัญชี ... และยังต้องลงวิชาเลือกเสรีด้วย 1 วิชา ซึ่งผู้เขียนลงวิชา Painting แบบว่า Paint แก้ว กระจก ประมาณนี้...

ทีเด็ดของชั้นปีนี้ อยู่ที่วิชา Math for IT เลย(สำหรับตัวผู้เขียนเอง) -- เนื้อหาของวิชานี้เน้นคณิตศาสตร์ที่จำเป็นสำหรับการเรียน IT ตอนเรียนเนื้อหาเหมือนว่าจะไม่ยาก อาทิ ความน่าจะเป็น การสุ่ม บลาๆๆๆๆๆ แต่ตอนสอบนี่สิ ข้อสอบ...ยากกว่าข้อสอบ 'Ent ซะอีก(ตอนผู้เขียนสอบ รุ่นนั้นเป็นรุ่นสุดท้ายที่ใช้ระบบเอ็นแบบเก่า) โหหหหหหหห.........อาจารย์สามารถมากๆ คิดดูดิ เอาแทบจะทุกเรื่องมาออกข้อสอบ 1 ข้อ ข้อสอบ มีเวลา 3 ชั่วโมงเหมือนวิชาอื่น มีข้อสอบประมาณ 7 ข้อ โอยยยยยยยย...เห็นข้อสอบแล้วแทบจะอ้วก ที่สำคัญวันรุ่งขึ้นสอบอัลกอริทึมด้วยสิ ... ตอนนั้นได้แต่คิดว่า วิชานี้แหละจะทำให้เกรดตก ออกจากห้องสอบอย่าให้บรรยายถึงสภาพของแต่ละคนเลยยยยยยยย...รวมถึงผู้เขียน ด้วย ที่แน่ๆ วันรุ่งขึ้นสอบ อัลกอริทึม เขียน Pseudocode อีก ออกจากห้องสอบ ถึงบ้านเท่านั้นแหละ
อ้วกกกกกแตกเลย... พอคะแนนออกมาได้  25 เต็ม 40 ... ทำให้พอรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

วิชา ระบบฐานข้อมูลเบื้องต้น(Database) วิชานี้เหมือนจะง่ายเลย แต่มาตกม้าตายกะเรื่อง Normalization... อาจารย์สอนชั่วโมงเดียว แต่ออกสอบ 1 ข้อใหญ่ คะแนนมากสุดด้วย สุดได้ก็ได้เกรดมาไม่ถึงที่สุด และก็ตั้งใจที่สุดแล้ว

ถัดมาวิชาบัญชี ... อาจารย์มาจากหาดใหญ่ อาจารย์บรรยายง่วงมาก เฮ้อออออออ...เจริญแน่ๆ แต่พอเรียนไป หลักการมีนิดเดียวเอง ... เกรดเหรอ ยิ้มเลย.....

เทอมนี้ลงวิชาเลือกไว้ด้วย นั่นคือ...เลี้ยงปลา 555+

ถัดมา Marketing -- วิชานี้อาจารย์ชิวชิวมากเลย คุยไปแทรกเนื้อหาไป (ที่สำคัญเป็นคนภูเก็ต จบมัธยมโรงเรียนเดียวกับพี่ชายของผู้เขียน น่าจะรุ่นพี่ของพี่ชายผู้เขียนสัก 2-3 ปี) มีการให้ทำรายงานพรีเซ้นต์ Case Study ต่างๆ ข้อสอบตอนกลางภาคไม่ยากมาก เขียนเชิงแสดงความคิดเห็น ปลายภาคนี่สิ Choice 5 ตัวเลือก... ทำยากมากๆ ทุกวันนี้อาจารย์ที่สอนวิชานี้แหละเป็นที่ปรึกษาชมรมเปตองที่ผู้เขียนตั้งขึ้นกะน้องๆเพื่อนๆ และเป็นที่ปรึกษาเรื่องเรียนต่อของผู้เขียน แม้ว่ายังไม่ได้เรียนก็ตาม.........

วิชาทีเด็ดอีกตัวคือ Network โอ้แม่เจ้า...ช่วงแรกได้แต่คิดว่าเปลี่ยนอาจารย์ให้หนูหน่อยเถอะค่ะ 555+ แต่พอเรียนไป เริ่มชินซะงั้น... วิชานี้เน้นการท่อง ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แล้วก็ท่อง สรุป ผู้เขียนอ่านไป ไม่ต่ำกว่า 3 รอบ ... เกรดเหรอ... เหอๆ อีกล่ะ

วิชาอื่นๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร

ปี 2 นี้มีการแข่งเปตองเหมือนเดิม แต่ผลไม่น่าพอใจ...เริ่มจาก ม.อ. ปัตตานีเจ้าภาพ(สถานการณ์เริ่มจะรุนแรงพอดี)... พ่อได้แต่ด่าส่งวันเดินทางเลย ส่วนคู่ซี้ แม่ก็บอกว่า ..." เอาชีวิตรอดกลับมาให้ได้แล้วกัน " 555+

พวกเราไปพักกันที่ ม.อ. หาดใหญ่ 1 คืน รุ่งเช้าเดินทางไปที่หมาย เฉพาะเปตอง (วิทยาเขตภูเก็ต) ... แถม!!!ไม่มีเจ้าหน้าที่ตามไปอีก โอยยยยยยยยย.... กลัวตายกันรึไง.... และแล้วผู้เขียนได้โทรกลับมาบอกพ่อว่าจะกลับบ้าน ไม่แข่งแล้ว เจ้าหน้าที่มอ ... เฮงซ_ย กลัวต_ย กันหมด พ่อเลยโทรคุยกะเจ้าหน้าที่กีฬา ซึ่งเป็นพี่ที่ชมรมเปตองจังหวัดด้วยกัน ... แต่ก็ไม่มีไรเกิดขึ้น ต้องไปตามลำพังเหมือนเดิม ... เอาวะ 1 คนหัวหาย 4 คน เพื่อนตาย.... แต่ก็นะเล่นไประแวงไป ... ผลก็แค่ได้ไปชมบ้านเมืองปัตตานีอันเีงียบสงัด...เฮ้อ

และแล้วจบปี 2 เกรดก็เพิ่มขึ้นตามตั้งใจ ถึงอันดับ 2 แต่ก็ยังไม่ถึงอันดับ 1 ... ก็ต้องสู้ต่อไป ในปี 3.........(ติดตามตอนหน้า)

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

Freshy ปี 1

วันแรกของการเข้าสู่สภาพนักศึกษา IT อย่างสมบูรณ์ ชุดที่ดูรุ่มร่าม รองเท้าผ้าใบสีขาวที่ใช้ตั้งแต่ ม.ปลาย
คาบแรกที่ต้องเจอ เป็นวิชาที่ขึ้นชื่อย่างมากในคณะ นั่นคือ Basic Math.... แต่เนื้อหาไม่ได้ Basic อย่างชื่อนี่สิ

จริงๆ มหาวิทยาลัยที่ผู้เขียนเรียน มีการกิจกรรมมาก่อนเปิดภาคเรียนแล้ว อาทิ การรับน้อง สันทนาการ บำเพ็ญประโยชน์... เมื่อเปิดภาคเรียน ก็มีแค่นิดหน่อย....

การใช้ชีวิตไม่ได้ต่างไปจากการเรียนในโรงเรียนมากนัก ต่างกันนิดหน่อยตรงที่ ไม่ต้องเรียนติดกันจนเย็น
ไม่ต้องร้องเพลงชาติ ไม่ต้องเข้าแถว หิวเมื่อไรก็กินเมื่อนั้น ...

ภาคเรียนแรก ไม่มีวิชาไหนที่ต้องพยายามอย่างมาก เมื่อดูจากชื่อวิชา แต่นั่นเป็นแค่ความคิดเท่านั้น เมื่อเอาเข้าจริงไม่ง่ายอย่างที่คิด เรียนได้ประมาณ 1 เดือน มีการประกาศรับนักกีฬา ไปแข่งกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย รอบ 5 วิทยาเขต (มหาวิทยาลัยที่ข้าพเจ้าเรียนมี 5 วิทยาเขต) เพื่อนซี้ของผู้เขียนโทรมาชวนไปแข่งเปตอง เนื่องด้วยผู้เขียนเป็นนักเปตองของจังหวัดอยู่แล้ว และเพื่อนซี้ก็เคยได้รับรางวัลจากการแข่งขันภายในจังหวัดมาแล้ว...

เอาวะ ไหนๆ ก็มีโอกาสแล้ว ลองสักตั้ง 555+

ที่ไหนได้ลงชื่อไปแล้วมีผู้หญิงแค่ 2 คน ผู้ชายแค่ 2 คน ด้วยความที่เป็นเด็กใหม่ ก็ต้องตามพี่ๆ นักกีฬาชนิดอื่นไป แต่แล้วความซวยก็เกิดขึ้น เมื่ออาจารย์สอน Basic Math.... ประกาศว่าจะมีการ Quiz ครั้งที่ 1 ช่วงที่กำลังจะไปแข่งกีฬา พอดี โอ้แม่เจ้าอะไรกันเนี่ย

และแล้วความซวยก็ผ่านไป เมื่ออาจารย์เลื่อนมา Quiz ก่อนการแข่งขันกีฬา (ขอบคุณสวรรค์ อิอิ) แต่ยังไงก็ไปแข่งกลับมา 1 อาทิตย์ก็สอบกลางภาคอีก (ตายแน่ๆ งานนี้)

การแข่งขันกีฬาจบไป ผลปรากฏว่า ผู้เขียนและเพื่อนซี้ ได้เป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยไปแข่งระดับภาคใต้ (อะไรจะฟลุ๊คขนาดนี้เนี่ย ซ้อมก็ไม่ซ้อม มาซ้อมเอาวันแข่งเลยล่ะพี่น้อง....) ยังๆๆๆ ยังไม่พอ เพื่อนโทรบอกตอนอยู่สนามแข่งที่หาดใหญ่ ว่าคะแนน Basic Math.... ออกแล้ว (ใจเต้น ตึกๆ ตึกๆ) Top 12.5 เต็ม 15 ผู้เขียนได้แต่ภาวนาว่า ของเราขอแค่ 10 ก็พอ (555+) เมื่อกลับมาถึงบ้านเปิดดูคะแนน รหัส 48XXX80 ได้ 12.5 (ใครวะรหัสติดกะเราเลย) พอกลับมาดูรหัสตัวเอง "เอ้า รหัสเรานี่" สรุปหลังจากที่เพื่อนๆ ตามตัวไอคนดึง mean เจอแล้วก็ได้จับตามองเป็นพิเศษ...

มาถึงการสอบกลางภาคครั้งแรกในชีวิตนักศึกษา ผู้เขียนได้แต่คิดว่าข้อสอบคงคล้ายๆ ม.ปลาย ไม่ต้องอ่านมากก็ได้ ที่ไหนได้ "แม่เจ้า ข้อเขียนล้วนๆ" ตายแน่ๆ งานนี้ ที่หนักสุดๆ เห็นจะเป็นพื้นฐานอังกฤษ อาจารย์ไม่สอนอะไรเลย วันๆ พูดแต่เรื่องโรงเรียนหญิงล้วนที่ท่านเคยสอน ไอเราไม่ได้จบจากที่นี่ ได้แต่นั่งฟังๆ แต่... คนตรวจข้อสอบดันเป็นอาจารย์อีกคน ซึ่งมีหลายส่วน ส่วนแรกการฟัง ส่วน 2 ไวยากรณ์ ส่วน 3 อ่านบทความแล้วตอบ ส่วน 4 เขียน ที่โหดสุดๆ เขียนผิดติดลบ "โอ้ อยากจะร้อง"

ส่วนใหญ่วิชาที่เรียนในเทอมแรก ไม่ได้หนักหนาอะไรมาก เป็นวิชาพื้นฐานทั้งสิ้น ที่เพิ่มมาก็วิชา IT ที่สำคัญวิชานี้ อาจารย์ฝรั่งสอน "เฮ้อ... " อาจารย์ไทยสอนก็แค่ Flow Chart ซึ่งเป็นส่วนเล็กๆ แค่ 20% เท่านั้น มาถึงข้อสอบ วิชานี้มีข้อเขียนด้วย แต่ดีที่อาจารย์เองไม่ได้้เน้นไวยากรณ์ แค่เขียนรู้เรื่องก็เป็นกันโอเค

เทอมแรกสอบเสร็จผู้เขียนและเพื่อนก็ต้องนั่งรถไปแข่งเปตองระดับภาคที่ ม. วลัยลักษณ์ ทันที ผลเหรอ ฟลุ๊คอีกตามเคย ได้เป็นตัวแทนภาค ไปแข่งกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทยครั้งที่ 33 ที่ ม.มหิดล ศาลายา "โอ้ว สุดยอดปลายหญ้าคา 555+" ที่สำคัญ Basic Math....ได้เกรด B+ (แค่นี้ก็พอใจแล้ว)

จบเทอม 1 มาด้วยเกรดเฉลี่ย 3.10 (เรียนมาไม่เคยตกต่ำขนาดนี้ เกรดเท่านี้ทำให้ผู้เขียนถึงกับน้ำตาไหล) หลังจากวันนั้นก็ตั้งใจมากขึ้น พร้อมกับเล่นเปตองด้วย ผู้เขียนคิดเสมอว่า "การทำอะไรทีละ 1 อย่างประสบความสำเร็จสักแค่ไหนก็ตาม ไม่เท่าการทำอะไร 2 อย่างขึ้นไปประสบความสำเร็จเท่าๆ กัน" ผู้เขียนลืมบอกไปว่า ผู้เขียนเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ มสธ. ควบคู่ไปด้วย(แต่ก็เรียนเพื่อฆ่าเวลา ไม่ต้องปล่อยตัวเองว่างเท่านั้นเอง)

ภาคเรียนที่ 2 ต้องเรียนวิชาใหม่ๆ เยอะขึ้น ที่จำขึ้นใจคือ วิชาเขียนโปรแกรม โดยใช้ภาษาซี (นึกแล้ว...คิดว่าตัวเองคงไม่รอด) และแล้วงานก็เข้าอีกอย่างจัง เมื่อการแข่งขันกีฬา ผู้เขียนจะต้องเดินทางวันเดียวกับการสอบกลางภาควิชา พื้นฐานโปรแกรม ภาษาซีนั่นแหละ แต่โชคดีนิดๆ ที่อาจารย์เข้าใจ และรอให้ผู้เขียนและเพื่อนกลับมาสอบคราวหลังได้

เรื่องกีฬาไม่ต้องพูดถึง ได้ไปก็โอเคสำหรับผู้เขียนแล้ว แต่เรื่องเรียนนี่สิ คำว่า "เอาเกียรตินิยมให้ได้นะ" มันฝังอยู่ในหัว เมื่อทั้งพ่อ พี่ๆ พยายามพูดๆๆๆๆๆ จนเหมือนกดดันตัวผู้เขียนเอง

กลับมาก็สอบวิชาพื้นฐานโปรแกรม ได้เพื่อนนี่สอบแล้วมาช่วยบอกแนวข้อสอบ (ขอบใจเพื่อนคนนี้มา ณ โอกาสนี้) ผู้เขียนและเพื่อนไม่ได้คิดว่าข้อสอบต้องเหมือนของการสอบครั้งแรก แต่แล้วอาจารย์ใจดีมากๆ เมื่อเอาข้อสบเก่ามาให้สอบ แต่นั่นล่ะ มี 4 ชุด (555+) แต่ละชุดก็ต่างกันไป....

เอาล่ะ หลังจากนี้ได้ตั้งใจเรียนเต็มที่แล้ว แต่ละวิชาอ่านไปเลยหนังสือ วิชาละไม่ต่ำกว่า 2 รอบ(บ้าพลังใช่เปล่า) เทอม 2 นี้ก็มีกิจกรรมเข้ามาบ้าง อาทิกีฬาสานความสัมพันธ์ 2 มหาวิทยาลัย(จังหวัดที่ผู้เขียนอยู่ มี 2 มหาวิทยาลัย), กีฬาสี (อันนี้ไม่ต้องสนใจมาก เหรียญทองเปตองแน่ๆ เรา -- เพื่อนบอก 555+) แต่ด้วยทางบ้านผู้เขียนตั้งความหวังไว้ว่า สักวันเมื่อรับปริญญา ผู้เขียนจะได้ใบปริญญาที่มีคำว่า " (เกียรตินิยมอันดับ 1) " ไว้ด้วย ยังไงก็ต้องตั้งใจเรียนก่อน....(ผู้เขียนคิด...)

จบเทอม 2 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.28 ทำให้เกรดเฉลี่ยเพิ่มเป็น 3.19 แต่ก็ยังไม่ถึงเกียรตินิยมอันดับ 2 ได้แต่คิดว่า เทอมหน้าต้องขยันกว่านี้....

เมื่อขึ้น ปี 2 .... (ติดตามตอนต่อไป)

วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

เกียรตินิยม...จำเป็นหรือไม่!!!

ดูจากชื่อเรื่องแล้ว คำถามนี้อาจค้างคาใจใครหลายๆ คน
เราลองมาดูกันดีกว่าว่า "ทำไมต้องได้เกียรตินิยม แล้วถ้าไม่ได้ล่ะจะส่งผลอย่างไร"

อนึ่ง ก่อนจะเข้าสู่บทความ ผู้เขียนได้แรงบันดาลใจมาจากคำถามที่น้องของผู้เขียนได้ถามมา
ดังที่เห็นจากชื่อเรื่องนั่นเอง

ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย เราต้องถามตัวเองก่อนว่า เราจะเข้าไปเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยเพื่ออะไร
  • เพื่อประกอบอาชีพที่ตัวเองชอบ
  • เพื่อหาความรู้ไว้ให้รู้
  • เพื่อพ่อแม่
  • โดนบังคับ
  • เพื่อจะได้เจอเพื่อนใหม่
  • เพื่อจะได้ผ่านกิจกรรมรับน้อง หรือ
  • เพื่อเกียรตินิยม...ฯลฯ
การเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย จะแตกต่างจากการเรียนในโรงเรียน ตรงที่
จะต้องหาความรู้เอง ดังที่หลายๆ คนเรียกผู้ที่เรียนในมหาวิทยาลัยว่า "นักศึกษา"
ดังนั้นผลการเรียนย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจในการศึกษาแน่นอน...

มาถึงประเด็นที่ว่า "ทำไมต้องได้เกียรตินิยมแล้วถ้าไม่ได้ล่ะจะส่งผลอย่างไร "

หลายๆ คนมักจะพูดว่า "เรียนไปเถอะ เรียนให้จบก็พอ ไม่ต้องเอาหรอกเกียรตินิยม
เอาไปก็ทำไรไม่ได้ งานที่ทำก็เหมือนกัน บางคนเงินเดือนน้อยกว่าเด็กที่ไม่ได้เกียรตินิยมอีก"
หรือที่หนักสุดๆ ก็คือ "จบไปก็ตกงานเหมือนกันนั่นแหละ" ผู้เขียนไม่เถียงว่าคำพูดเหล่านี้ไม่จริง
เพราะ...
  1. คนเก่งบางคนเก่งเฉพาะด้าน แต่อาจจะเก่งไปเลย เค้าอาจจะไม่จบตามหลักสูตรด้วยซ้ำ แต่เค้ามีงานทำแบบไม่ต้องเป็นลูกน้องใคร เงินเดือนมากกว่าคนจบแล้วบางคนอีก
  2. คนเก่งบางคนมุ่งเน้นแต่เรื่องที่ตัวเองสนใจ แต่การเรียนในระบบมหาวิทยาลัยของไทย ต้องเรียนวิชาพื้นฐาน ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาต่อใครหลายๆ คน
  3. คนเก่งบางคนอาจจะไปพลาดวิชาใดเพียงแค่วิชาเดียว ทำให้ไม่ผ่านเกณฑ์เกียรตินิยม
    แต่เกรดก็ออกมาสูงใช้ได้ .............
และอ่านจะมีอีกหลายๆ เหตุผลที่ผู้อ่านคิด...

หลายๆ มหาวิทยาลัย มีเกณฑ์ในการให้เกียรตินิยมคล้ายๆ กัน นั่นคือ
  • ต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาตามที่หลักสูตรกำหนด
  • ต้องได้เกรดเฉลี่ย ไม่ต่ำกว่า ...
  • ต้องไม่ได้เกรด ....
  • บลาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
และอีกเยอะแยะมากมาย ซึ่งดูแล้วใครๆ ก็ต้องคิดว่าไอพวกได้เกียรตินิยม นี่บ้าพลัง 555+
ส่วนหนึ่งก็เป็นไปได้ (ผู้เขียนไม่เถียง)

เอาล่ะ อธิบายมาเยอะแยะมากมาย คราวนี้ผู้เขียนจะตอบว่า "ทำไมต้องได้เกียรตินิยม"

อันดับแรกเลย พ่อแม่ พี่น้อง ญาติๆ ภูมิใจ -- แน่นอน ทำชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูลนี่ ซึ่งเกียรตินิยมเป็นสิ่งที่พ่อแม่ส่วนใหญ่อยากให้ลูกได้ เพื่อบ่งบอกถึงความมุมานะของผู้เรียน
อันดับที่สอง ตัวคุณภูมิใจ -- คุณลองคิดดู กว่าคุณจะประสบความสำเร็จมาขนาดนี้ คุณต้องต่อสู้มาขนาดไหน แน่นอนถ้าคุณทำได้ คุณก็ภูมิใจ
อันดับที่สาม โอกาสในหน้าที่การงานดีกว่า(เหรอ) -- คำถามที่ตามมาคือ "ดีกว่าตรงไหน" หากคิดแบบนี้ ขอถามก่อนเลยว่า มีบริษัทไหน ที่มาบอกคุณบ้าง ว่าเค้ารับคนได้เกียรตินิยมเข้าทำงาน อันนี้ผู้เขียนได้ความรู้มาจากพี่ของผู้เขียนเอง

สมมติว่าบริษัท ก ต้องการรับพนักงาน 1 คน แล้วมีผู้เข้าสมัครงานมา 5 คน ซึ่ง 3 คน จบจากมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด และมี 1 คน ได้เกียรตินิยม (ทั้ง 3 เรียนเอกเดียวกัน) อีก 2 คน มาจากมหาลัยอื่น 1 คน ได้เกียรตินิยม อีก 1 คน ไม่ได้อะไรเลย แต่เก่งในด้านงานที่สมัคร

คำถามที่ตามมาคือ ใครจะได้เข้าทำงานที่นี่... ใช่ไหมคะ

    --> แต่ละองค์กร มีเกณฑ์การคัดเลือกไม่เหมือนกันหรอกค่ะ บางที่ไม่รับคนเกรดสูง เนื่องด้วยคนเกรดสูงบางคนอาจจะเรียกร้องเงินเดือนเยอะ เรียกร้องอะไรมากมาย ทัศนคติอาจจะไม่ค่อยตรงกับใคร และอาจจะมั่นใจจนเกินความพอดี ค่ะ

ถามว่าทำไม บริษัทส่วนใหญ่ไม่มีเวลามานั่งอ่านผลงานของทุกคน นอกซะจากว่าเคยมีชื่อเสียงได้รับรางวัลมา
แล้วจากคำถาม คนที่เก่งด้านนี้ล่ะ เค้าเก่งด้านนี้ แต่เค้าไม่เคยได้รับรางวัล ไม่มีใครรู้จัก คุณจะรู้ได้ไงว่าเค้าเก่งจริง...

อันนี้เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้น หากพาดพิงถึงผู้ได้ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ในความเป็นจริง การได้เกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยหลายๆ แห่ง จะมีองค์กร หน่วยงานต่างๆ ยื่นมือเข้ามา ไม่ว่าจะให้งานตำแหน่งดีๆ ให้ทุนวิจัย ทุนศึกษาต่อ.... และอีกเยอะแยะมากมาย ในทางตรงข้าม การไม่ได้เกียรตินิยมก็ไม่ใช่ไม่ดี บางคนอาจจะได้งานดีกว่าคนได้เกียรตินิยมอีก แต่ก็เป็นส่วนน้อย

ที่สำคัญที่สุดการได้เกียรตินิยม เป็นผลจากการพิสูจน์ตัวเองต่างหากว่าเราตั้งใจแค่ไหน มุ่งมั่นแค่ไหน ผู้เขียนเชื่อว่าความตั้งใจและความมุ่งมั่นนี่แหละ ที่เป็นผลให้ประสบความสำเร็จ อยู่เรามุ่งมั่นอะไร ถ้ามุ่งมั่นตั้งใจซ้อมกีฬา เราก็จะได้รับรางวัลจากการแข่งขัน ....

สรุปง่ายๆ ก็คือ เกียรตินิยมไม่จำเป็นค่ะ ความรู้ที่ขวนขวายคือสิ่งที่จำเป็นกว่าค่ะ
                        เกียรตินิยมเป็นรางวัลสำหรับความพยายามและความตั้งใจค่ะ ^^